ใบงานที่
3 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2559
พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี
2559 ถูกเริ่มร่างเมื่อปี 2558
และยังคงแก้ใขต่อเนื่องมาถึงปี 2559 ดังนั้น พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2558
ก็คือฉบับเดียวกันกับพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559
ทั้งนี้ ในร่าง
พ.ร.บ.ฉบับนี้ระบุถึงเหตุผลที่ต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับปัจจุบันว่า
“พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระ ทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมต่อการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน…….ซึ่งมีรูปแบบการกระทำความผิดที่มีความซับซ้อนมากขึ้นตามพัฒนาการทางเทคโนโลยี
ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
สำหรับเนื้อหาของร่าง
พ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญดังนี้
มาตรา 4
“ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น
โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์สามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการตอบรับได้
อันเป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้รับ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200,000
บาท”
มาตรา 5
กำหนดว่า ถ้าผู้ใดกระทำผิดใน 5 ประการ
ได้แก่
1.การเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน
2.นำมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะไปเปิดเผยโดยมิชอบ
3.ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน
4.ดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์
และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ และ
5.ส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น
โดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว
เรื่องการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างความเสียหายให้กับบุคคล
ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ได้มีกระบวนการจัดการกับผู้กระทำความผิดเข้มข้นมากขึ้นด้วย
โดนบัญญัติในมาตรา 10 ว่า
“ผู้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่นและภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น
ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด
โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”
มาตรา 10
ดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพื่อเพิ่มบทลงโทษให้มากขึ้นโดยให้ผู้กระทำผิดต้องรับทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ
จากเดิมที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
กำหนดการกระทำความผิดในลักษณะที่ว่านั้นด้วยการต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะเดียวกัน ในร่างกฎหมายที่
ครม.เสนอให้ สนช.พิจารณา ยังได้บัญญัติมาตรการทางศาลเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายด้วย
โดยมาตรา 11 ระบุว่า “ในคดีซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่ง
(1) ให้ยึดและทำลายข้อมูล
(2)
ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสื่อที่ใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ตามที่ศาลเห็นสมควร
โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา”
เช่นเดียวกับ มาตรา 20
ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแต่งตั้ง
ยื่นคำร้องพร้อมแสดงหลักฐานต่อศาลขอให้มีคำสั่งระงับการเผยแพร่หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้
ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในที่นี้มีด้วยกัน 4 ประเภท ดังนี้
(1)
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.นี้
(2)
ข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ
1 หรือลักษณะ 1/1 ตามประมวลกฎหมายอาญา
(3)
ข้อที่เป็นความผิดอาญาต่อกฎหมายอื่นซึ่งเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้นได้ร้องขอ
และข้อมูลนั้นมีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(4)
ข้อมูลที่ไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายอื่นแต่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรืออันดีของประชาชน
ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่รัฐมนตรีมีมติเป็นเอกฉันท์
ความผิด พรบ.คอม มาตรา 14
ระบุไว้ว่า “ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๑)
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ
ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(๒)
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(๓)
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ
อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(๔)
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ
ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(๕)
เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม
(๑) (๒) (๓) หรือ (๔) “
อีกกรณีที่ต้องระวังสำหรับผู้ใช้คอ Social
Network โดยเฉพาะกลุ่มคนที่
เจออะไร ขอกดแชร์ หรือส่งต่อ เช่นได้ข้อความมาใน Line, หรือทาง
Facebook , Twitter เจอปุ๊บ
share ปั๊บ หรือส่งต่อให้กับเพื่อนๆ ทั้งทาง Line หรือทางอีเมล โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบก่อนว่าข้อความนั้น จริงรึเปล่า….?
หากเผลอแชร์ทันที ทั้งๆเป็นข้อมูลเท็จ การกระทำลักษณะแบบนี้ ผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งหากตรวจสอบว่าผิดจริง
ผู้แชร์ก็อาจถูกดำเนินคดี ได้ และอาจถึงขั้นจำคุก หรือปรับ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติโหวตผ่านร่าง
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่มีการแก้ไขเนื้อหาหลายอย่าง
สำหรับคนทำงานไอทีโดยทั่วไป จุดสำคัญของร่างนี้พบ 3 จุดสำคัญ
มีหลักการแจ้งเตือนผู้ให้บริการให้ทำตามแล้ว
โดยมาตรา 15 ของพ.ร.บ. ระบุให้รัฐมนตรีออกประกาศขั้นตอนการทำตามคำแจ้งเตือน
เมื่อทำตามแล้วไม่ต้องรับโทษ
การบล็อคเว็บมีกรรมการพิจารณา
จากเดิมการบล็อคเว็บต้องเป็นการบล็อคเว็บที่มีความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ
เท่านั้น ร่างใหม่นี้กำหนดความผิดที่สามารถบล็อคเว็บได้กว้างขวางกว่าเดิม
รวมถึงข้อมูลที่ไม่ผิดกฎหมายแต่คณะกรรมการกลั่นกรองมีมติให้บล็อค
ขยายเวลาเก็บล็อก
จากเดิมเจ้าหน้าที่สามารถขอให้เก็บรักษาไว้ไม่เกิน 1 ปี เป็น 2 ปี
นอกเหนือจากประเด็นสำหรับคนทำงานไอทีแล้ว
ร่างใหม่นี้ยังมีประเด็นสิทธิเสรีภาพอีกหลายประเด็น รายละเอียดทาง iLaw
ได้รายงานเปรียบเทียบอย่างละเอียดไว้แล้ว
คำแนะนำวิธีปฏิบัติ ตาม พรบ.
ความผิดคอมพิวเตอร์
- ไม่ตัดต่อเผยแพร่ภาพตัดต่อของผู้อื่น
ที่ทำให้เขาเสียหายหรือเสียชื่อเสียง
- ก่อนดาวโหลดโปรแกรมหรือข้อมูลจากเว็บไซต์
ควรอ่านเงื่อนไขให้ละเอียดเสียก่อน
- ไม่ฟอร์เวิร์ดอีเมล์ หรือ Clip
ภาพลามกอนาจาร หรือข้อความไม่เหมาะสม
- ไม่เผยแพร่ Spam
mail หรือไวรัส
- ไม่เปิดเผยมาตรการระบบคอมพิวเตอร์ให้ผู้อื่นล่วงรู้
- ไม่ขโมยข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- ระวังการ Chat
กับคนแปลกหน้า อย่าหลงเชื่อเขาง่ายๆ
- อย่าลืม
ลงโปรแกรมป้องกันไวรัสและสปายแวร์
- ไม่แฮกระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- ไม่ควรบันทึก Password
ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์และควรเปลี่ยน Password ทุกๆ 3 เดือน
- ไม่แอบดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- ไม่นำเข้าข้อมูลหรือภาพลามก อนาจาร
เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์
ข้อปฏิบัติ สำหรับผู้ดูแลระบบ
ไม่สนับสนุนหรือยินยอมให้ผู้ใช้บริการนำเข้า
หรือเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเขาไปในระบบคอมพิวเตอร์
ระงับการเผยแพร่เว็บไซต์ที่มีข้อมูลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง
ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี
ให้ความร่วมมือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการสืบสวน
สอบสวน หาตัวผู้กระทำผิด
ผู้ให้บริการจะต้องเก็บข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบไว้อย่างน้อย
90 วัน
ข้อมูลที่จัดเก็บจะต้องได้รับการปกป้องให้มีความน่าเชื่อถือ
และไม่ถูกเปลี่ยนแปลงได้จากผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ การเข้าถึงข้อมูล
(แต่ห้ามเปลี่ยนแปลง) จะกระทำได้โดยผู้ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
ข้อมูลที่เก็บนั้น
จะต้องครอบคลุมการเข้าใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในทุกรูปแบบ (เช่นทั้ง wired
และ wireless) และจะต้องสามารถระบุตัวผู้ใช้บริการเป็นรายบุคคลได้จริง
ผู้ให้บริการต้องตั้งเวลาของอุปกรณ์ทุกชนิดให้ตรงกับสากล
โดยผิดพลาดไม่เกิน 10 มิลลิวินาที
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่ผู้ให้บริการต้องจัดเก็บคือ
คลิปวีดิโอเกี่ยวกับ พรบ. คอมพิวเตอร์
คลิปวีดิโอเกี่ยวกับ พรบ. คอมพิวเตอร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น